วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

โคราชรับบริจาค 58 ล้าน 

ช่วยแล้วคนเจ็บ-เสียชีวิต 9.1 ล้านบาท

พล.ร.อ.ปวิตร รุจิเทศ เป็นผู้แทนพระองค์ เป็นประธานในพิธีทำบุญงานรวมดวงใจก้าวไปด้วยกัน เนื่องในโอกาสที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง
วันนี้ (13 ก.พ.2563) พล.ร.อ.ปวิตร รุจิเทศ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เป็นผู้แทนพระองค์ เป็นประธานในพิธีทำบุญในงาน "รวมดวงใจก้าวไปด้วยกัน"เนื่องในโอกาสที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับร้านค้าผู้ใช้บริการ
กิจกรรมวันนี้ เริ่มด้วยพิธีตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งพระภิกษุ 219 รูป สวดนพเคราะห์ โดยมีพระเทพสีมาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหน้าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 เนืองแน่นไปด้วยผู้ประกอบการรายย่อยที่ออกมาตั้งโรงทาน เพื่อบริการประชาชนที่จะเดินทางมาใช้บริการ

นายชัชวาล วงศ์จร ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า การดูแลและเยียวยาผู้ประกอบการรายย่อย ผู้บริหารศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ได้งดเว้นการเก็บค่าเช่า ค่าบริการ และค่าสาธารณูปโภคทั้งหมดของเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนการเยียวยาของหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานผู้ให้บริการทางการเงินให้งดเว้นดอกเบี้ยเงินกู้

สำหรับยอดบริจาคเงินช่วยเหลือครอบครัวเสียชีวิตและบาดเจ็บ ผ่านบัญชีช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเทอมินอล 21 โดยจังหวัดนครราชสีมา ล่าสุดเวลา 08.00 น. ได้ 58 ล้านบาท จ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้นสำหรับครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว 23 คน คนละ 300,000 บาท 6,900,000 บาท ผู้บาดเจ็บที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล คนละ 100,000 บาท 22 คน รวม 2,200,000 บาท รวมยอดใช้จ่ายแล้ว 9,100,000 บาท และเหลือเงินในบัญชีกว่า 49 ล้านบาท โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประสบเหตุเพิ่มเติมอีกครั้ง


 ขอบคุณ link ข่าว...https://news.thaipbs.or.th/content/288910

เช็กด่วน! 10 สถานที่เสี่ยงแพร่เชื้อโรคโควิด-19

กรมอนามัย เผยแพร่ข้อมูล 10 สถานที่เสี่ยงแพร่เชื้อโรคโควิด-19 เช่น สถานที่ราชการ รถแท็กซี่ เรือโดยสาร ระบบขนส่งทางราง ร้านอาหาร สถานีขนส่ง สนามบิน แนะทำความสะอาด นำเจลล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย ป้องกันหากต้องไปในสถานที่แออัด
วันนี้ (12 ก.พ.2563) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยแพร่ข้อมูลสถานที่เสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จาก 10 สถานที่ ดังนี้ 
  • สถานที่ราชการ และสถานที่ทำงาน ขอให้ทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัสบ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น โต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ใช้ทำงาน ที่จับประตู และห้องสุขา
  • รถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร รถจักรยานยนต์รับจ้าง ขอให้ทำความสะอาดภายหลังมีการให้บริการ เน้นไปที่บริเวณพื้นผิวที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อยๆ เช่น ที่จับประตู เบาะที่นั่ง
  • เรือโดยสาร ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ วางไว้พื้นที่ส่วนกลาง เช่น ห้องจำหน่ายตั๋ว และหมั่นทำความสะอาดราวจับ เก้าอี้นั่งในเรือ ที่เท้าแขน ราวบันได และท่าเทียบเรือ
  • ระบบขนส่งมวลชนทางราง เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรียลลิงค์ และรถไฟ ให้ทำความสะอาดหลังการให้บริการ เน้นไปที่บริเวณที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อยๆ เช่น บริเวณที่นั่ง ที่จับ และบริเวณเหนือหัวผู้โดยสาร
  • ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ฟิตเนส ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้บริเวณประตูทางเข้าและทางออก บริเวณหน้าลิฟต์ รวมถึงทำความสะอาดที่จับประตู และห้องสุขา
  • ร้านอาหาร ขอให้หมั่นเช็ดทำความสะอาดที่บริเวณโต๊ะอาหารและเก้าอี้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • โรงพยาบาล ให้น้ำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้ในบริเวณที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก และให้ทำความสะอาดที่นั่ง ที่จับประตู ห้องสุขา
  • ห้องน้ำสาธารณะ ขอให้ทำความสะอาดที่จับสายฉีดชำระ พื้นห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด
  • ปั๊มน้ำมัน ให้ทำความสะอาดห้องสุขา ซึ่งมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก เน้นที่สายจับฉีดชำระ บริเวณพื้นที่ห้องส้วม ที่รองนั่งโถส้วม ที่กดโถส้วม โถปัสสาวะ ที่เปิดก๊อกอ่างล้างมือ และกลอนประตูหรือลูกบิด 
  • สถานีขนส่งผู้โดยสาร และสนามบิน ให้นำแอลกอฮอล์เจลล้างมือวางไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าและทางออก รวมถึงทำความสะอาดที่จับประตูห้องสุขา
สำหรับการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019 ขอให้พี่น้องประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง เมื่อต้องไปในพื้นที่เสี่ยงหรือมีคนแออัด รวมถึงรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หากจำเป็นต้องร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่นขอให้ใช้ช้อนกลางในการตักอาหาร นอกจากนี้ ให้หมั่นล้างมือเป็นประจำโดยใช้สบู่หรือเจลล้างมือ ที่สำคัญขอให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

 ขอบคุณ link ข่าว ...https://news.thaipbs.or.th/content/288893

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เวียดนามประกาศระงับทุกเที่ยวบินจีน-ฮ่องกง -มาเก๊า หลังพบผู้ติดเชื้อรายที่ 6

เวียดนามประกาศระงับทุกเที่ยวบินจีน-ฮ่องกง

-มาเก๊า หลังพบผู้ติดเชื้อรายที่ 6



เอเอฟพี - เวียดนามได้ระงับเที่ยวบินจีนทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการต่อต้านการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ คำแถลงขององค์การบริหารการบินพลเรือนเวียดนามระบุวันนี้ (1)

คำสั่งที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์ของหน่วยงานระบุว่ามาตรการดังกล่าวใช้ดำเนินการกับทุกสายการบินที่มีเส้นทางระหว่างเวียดนามและจีน และยังรวมถึงฮ่องกงและมาเก๊า


คำสั่งฉบับก่อนหน้านี้ได้ระบุรวมถึงไต้หวัน แต่ในคำสั่งฉบับล่าสุดได้ถอนชื่อไต้หวันออกไป


เวียดนามเป็นประเทศล่าสุดที่กำหนดมาตรการห้ามเดินทางหลังไวรัสแพร่กระจายไปยังหลายสิบประเทศ และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 259 คนในจีน ที่เป็นต้นกำเนิดของเชื้อไวรัส


องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศเมื่อวันพฤหัสฯ แต่ไม่ได้แนะนำให้กำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับการเดินทางหรือการค้าระหว่างประเทศ

การประกาศของเวียดนามมีขึ้นหลังจากประเทศยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายที่ 6 ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรมอายุ 25 ปี ที่ทำงานอยู่ในจ.ญาจาง ติดเชื้อไวรัสหลังติดต่อกับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ในเวลาต่อมาได้รับการวินิจฉัยว่ามีเชื้อไวรัสโคโรนา พนักงานหญิงรายนี้ยังเป็นผู้ติดเชื้อภายในประเทศรายแรกที่เป็นชาวเวียดนามที่ไม่มีประวัติการเดินทางไปจีน


ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 3 ใน 6 ราย เป็นชาวเวียดนามที่เคยเดินทางไปนครอู่ฮั่น


เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวกับเอเอฟพีว่าสุขภาพของพนักงานต้อนรับนั้นคงที่ ไม่มีไข้หรือไอ และเธอไม่เคยมีประวัติเดินทางไปจีนในช่วงนี้



สำหรับประเทศที่ยืนยันว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาภายในประเทศประกอบด้วยไทย จีน เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และเวียดนาม.





ขอบคุณ link ข่าว ...https://mgronline.com/indochina/detail/

ออสเตรเลียห้าม ‘ชาวต่างชาติ’ ที่เดินทางจากจีนเข้าประเทศ


ออสเตรเลียห้าม ‘ชาวต่างชาติ’ ที่เดินทางจากจีนเข้าประเทศ

เอเอฟพี - รัฐบาลออสเตรเลียประกาศวันนี้ (1 ก.พ.) ว่าชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าประเทศ เพื่อสกัดการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
นายกรัฐมนตรี สก็อตต์ มอร์ริสัน ระบุว่า ตั้งแต่วันนี้ (1) เป็นต้นไป “เฉพาะพลเมืองออสเตรเลีย, ผู้ที่มีถิ่นพำนักในออสเตรเลีย, ผู้ที่อยู่ในอุปการะ (dependents), ผู้ปกครองตามกฎหมาย (legal guardians) และคู่สมรส” เท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางจากจีนเข้ามายังแผ่นดินใหญ่ออสเตรเลีย
ทั้งนี้ หน่วยงานควบคุมชายแดนสามารถ “ยกระดับ” มาตรการตรวจสอบภายใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า เพื่อคัดกรองผู้ที่เดินทางออกจากจีนหรือมีการต่อเครื่องบินในจีน
ผู้นำออสซี่ย้ำว่าจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังอย่างสูงในสถานการณ์เช่นนี้ เพื่อให้พลเมืองออสเตรเลียเกิดความเชื่อมั่นและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ทั้งนี้ ออสเตรเลียจะขยายมาตรการกักโรคนาน 14 วันให้ครอบคลุมผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ จากเดิมซึ่งกำหนดเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากมณฑลหูเป่ยเท่านั้น
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลียยังได้ยกระดับคำเตือนการเดินทางไปจีนขึ้นมาสู่ขั้น “ห้ามเดินทาง” (do not travel)
แควนตัสซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติออสเตรเลียประกาศระงับเที่ยวบินตรงไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ใน 2 เส้นทาง ได้แก่ ซิดนีย์-ปักกิ่ง และซิดนีย์-เซี่ยงไฮ้ ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. เป็นต้นไป ขณะที่แอร์นิวซีแลนด์ก็ประกาศงดเที่ยวบินออคแลนด์-เซี่ยงไฮ้ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. เช่นกัน
ขอบคุณ link ข่าว ...https://mgronline.com/around/detail/

ยังหนาวต่อเนื่อง! กรมอุตุฯ เผยเหนือ-อีสานเหลือ 15 องศา กทม.ก็เย็นสะท้าน


ยังหนาวต่อเนื่อง! กรมอุตุฯ เผยเหนือ-อีสานเหลือ 15 องศา กทม.ก็เย็นสะท้าน
 
        กรมอุตุฯ / กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-19 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นไว้ด้วย สำหรับภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง
ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา เมื่อเวลา 16.00 น. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และทะเลจีนใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็น ในตอนเช้า สำหรับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคใต้มีกำลังปานกลาง
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 17:00 วันนี้ ถึง 17:00 วันพรุ่งนี้
ภาคเหนือ บริเวณพื้นราบ อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 15-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและเทือกเขาสูง มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 5-10 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณพื้นราบ อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 15-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 7-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
ภาคกลาง อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
ภาคตะวันออก อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎ์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎ์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม/ชม ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม/ชม ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) เมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง และพังงา อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม/ชม ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

ขอบคุณ link ข่าว ...https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_3508507


สาธารณสุข แจง ไวรัสโคโรน่า ระบาดเร็วกว่าซาร์ส! แนะคนไทย ป้องกันดูแลตัวเอง


สาธารณสุข แจง ไวรัสโคโรน่า ระบาดเร็วกว่าซาร์ส!
แนะคนไทย ป้องกันดูแลตัวเอง
 
สธ.แจง คนไทยเสี่ยงติดเชื้อโคโรนาต่ำ เดินสวนกันโอกาสติดน้อย เว้นพูดคุยอยู่ร่วมกันใกล้ชิด ตราบใดที่มีคนจีนเข้ามา ก็มีโอกาสเสี่ยง
วันนี้ (1 ก.พ.) นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคปอดติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า ขณะนี้ยังคงมีผู้ป่วยยืนยัน 19 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 7 ราย เหลืออยู่ใน รพ. 12 ราย โดยทุกรายมีอาการดีขึ้น รอเพียงผลตรวจยืนยันว่า ไม่มีเชื้อแล้วจึงสามารถให้กลับบ้านได้

สำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ตั้งแต่วันที่ 3-31 ม.ค. 2563 มีทั้งสิ้น 344 ราย มีทั้งคนจีนและคนไทยที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนจีน โดยคัดกรองจากสนามบิน 39 ราย มารับการรักษาที่ รพ.เอง 305 ราย อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว 70 ราย

ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ยังคงอยู่ใน รพ. 274 ราย ยังรอผลในห้องปฏิบัติการ หรือไม่ก็ยังอาการไม่ดีขึ้นจากโรคอื่นที่วินิจฉัยไปแล้ว ส่วนสาเหตุที่ระยะหลังจำนวนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์มีจำนวนมากขึ้น เพราะเราขยายวงในการเฝ้าระวังออกไป จากเฉพาะคนที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น เป็นทุกคนที่เดินทางมาจากประเทศจีน และคนไทยที่ทำงานสัมผัสกับคนจีนอย่างใกล้ชิดเสี่ยงสูง

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า เดิมนั้นเชื้อโคโรนาไวรัสเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่ผ่านมาไม่ได้ก่อให้เกิดโรคที่รุนแรง โดยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน คือ มีไข้ ไอ เจ็บคอ ไม่กี่วันก็หาย แต่ระยะต่อมาเจอเชื้อโคโรนาไวรัสก่อความรุนแรง ตัวแรกคือ ซาร์ส ในปี 2003 มีผู้ป่วยทั่วโลก 8,000 คน เสียชีวิตอยู่ที่ประมาณเกือบ 10%  ตัวที่สอง คือ เมอร์ส เมื่อปี 2012 มีผู้ป่วยประมาณ 2,000 กว่าคน อัตราป่วยตายคือ 30%

ทุกวันนี้ยังมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ซาร์สไม่เจอผู้ป่วยแล้ว ส่วนไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เรารู้ว่าแพร่ระบาดได้เร็วกว่าเมอร์สและซาร์ส ซึ่งตอนนี้ที่ประเทศจีนที่เดียว ในเดือนเดียวผู้ป่วยกำลังจะแซงหน้าซาร์สแล้ว ส่วนตัวเลขที่ยังไม่ทราบ คือ ป่วยกี่คน ตายกี่คน ตรงนี้คือความรุนแรง ดังนั้น เชื้อแต่ละตัวที่เราที่เราสนใจมี 2 ส่วน คือ แพร่เร็วหรือไม่ และติดเชื้อแล้วโอกาสเสียชีวิตมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตัวเลขอัตราป่วยตายยังไม่ทราบและอยากทราบมากๆ

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า สำหรับความเสี่ยงการติดเชื้อภายในประเทศและของแต่ละบุคคล ขึ้นกับโอกาสที่จะไปสัมผัสเชื้อมีมากน้อยแค่ไหน โดยทั่วไปเชื้ออยู่ในคน ก็ต้องพิจารณาว่า วันนี้เดินออกจากบ้านไปเจอคนป่วยโรคนี้มีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งวันนี้ผู้ป่วยจริงๆ ในไทยน้อยมาก ถ้าไม่สัมผัสผู้ป่วยโอกาสติดเชื้อต้องบอกว่าเป็นศูนย์ และผู้สัมผัสมี 2 แบบ คือ

1.การสัมผัสแบบผิวเผิน (Castual Contact) เช่น เดินสวนกัน ไม่ได้มองหน้ากัน เดินผ่านกันในห้างสรรพสินค้า รูปแบบนี้เรียกว่าความเสี่ยงใกล้ศูนย์ คือต่ำมากๆ โอกาสที่จะติดเชื้อแทบไม่มีเลย

2.การสัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง (Close Contact) คือ มีความใกล้ชิดมากขึ้น เช่น ยืนคุยกัน หันหน้ามองกัน ถ้าพูดคุยกันนานระยะเวลาหนึ่งก็จะเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด การอยู่ด้วยกันในสถานที่ปิดระยะเวลาหนึ่ง เช่น รถแท็กซี่ ซึ่งเป็นสถานที่ปิดแคบด้วย ส่วนในลิฟต์ เป็นสถานที่ปิดแคบ แต่อยู่ร่วมกันแค่ไม่กี่วินาที จะต้องอยู่ในพื้นที่ปิดนานพอสมควร ถึงจะถือว่าเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง

ส่วนการติดเชื้อมีได้ 2 แบบ คือ คนไข้ไอ พูดแล้วน้ำลายกระเด็นออกมา และอีกคนหายใจเอาละอองเข้าไป คือติดเชื้อทางเดินหายใจ และการไปสัมผัสเชื้อจากน้ำมูกน้ำลายที่ออกมาจากผู้ป่วยตามสถานที่พื้นผิวต่างๆ แล้วเอามือที่มีเชื้อมาขยี้ตาจมูกปาก

ถามว่าวันนี้เมืองไทยเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเจอผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหนและจะลดความเสี่ยงได้อย่างไร นั่นคือ เรามีผู้ป่วยในไทยมากน้อยแค่ไหน เอาเข้าสถานพยาบาลหมดหรือยัง ถ้าเอาเข้ามาได้ ข้างนอกก็ไม่มีผู้ป่วยเหลืออยู่ แต่ตราบใดที่มีคนเดินทางจากจีนเข้ามา คนไทยก็มีโอกาสเสี่ยง แต่จะเสี่ยงแตกต่างกันไป

ใครทำงานใกล้ชิดคนจีนก็เสี่ยงสูงกว่า คนที่วันๆ แทบไม่เจอหน้าใครเลย อยู่แต่ในบ้านความเสี่ยงก็เป็นศูนย์ ดังนั้น การดำเนินการคัดกรองยังคงดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อไป เนื่องจากยังมีผู้เดินทางจากประเทศจีนเข้ามาประเทศไทย สำหรับคนไทยโอกาสความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ำ ส่วนใครมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าคนไทยทั่วไป ก็ต้องป้องกันตัว

เช่น คนขับแท็กซี่ รถตู้ ต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ทำความสะอาดรถด้านใน เพราะอาจมีการปนเปื้อนละอองน้ำลายต่างๆ หากไปรับคนจีนมีอาการไข้ไอมาด้วย ก็ทำความสะอาดรถบ่อยๆ เป็นการป้องกันตนเองและผู้โดยสารไปด้วย ใครอยู่ในอาชีพที่มีความเสี่ยงก็จะแนะนำประมาณนี้

สำหรับคนไทยอื่นๆ ที่จะสัมผัสผู้ป่วยน้อยมาก บางพื้นที่ไม่มีคนจีนไปเลย ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ให้พิจารณาตามความเสี่ยงของตัวเอง ใครก็ตามที่มีการทำงานสัมผัสใกล้ชิดคนจีน มีอาการไข้ไอเจ็บคอ หายใจลำบาก ให้โทร. 1422 หรือเข้าพบแพทย์ที่ รพ.โดยสวมหน้ากากอนามัยไปเรียบร้อย แจ้งกับแพทย์ว่าเข้าพบด้วยเรื่องอะไร การแจ้งไว้ก่อนทำให้ รพ.ตื่นตัว และป้องกันบุคลากรและคนไข้อื่นด้วย” นพ.ธนรักษ์กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีคนขับแท็กซี่ติดเชื้อจากผู้ป่วยชาวจีน ทั้งที่ก่อนหน้ามีคำแนะนำว่าไม่ควรเดินทางโดยรถสาธารณะ นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ผู้ป่วยจีนที่มีอาการไอจามไป รพ. ต้องยอมรับความจริงว่า ไม่ว่าพยายามให้คำแนะนำอย่างดีแค่ไหน ก็อาจมีใครบางคนไม่ได้ปฏิบัติตาม

สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือ ให้คำแนะนำผู้เดินทางทุกคน มีอาการไอจามแจ้งหน้าหน้าที่ ไป รพ.เองให้ใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งอาจเจอคนมีอาการจริง หรือมีอาการน้อยมากไม่มีใครดูออก ส่วนนี้ก็ทำเต็มที่สุด คือ ป้องกันตัวเอง เป็นเหตุผลที่แนะนำให้คนขับรถสาธารณะ แท็กซี่ รถตู้ สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งใช้หน้ากากผ้าธรรมดาได้ จะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ล้างมือบ่อยๆ เช็ดทำความสะอาดรถ


ขอบคุณ link ข่าว....https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_3506893

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

อำนาจหน้าที่ของ WHO หลังประกาศสภาวะฉุกเฉิน ไวรัสโคโรนา:


อำนาจหน้าที่ของ WHO 
หลังประกาศสภาวะฉุกเฉิน  ไวรัสโคโรนา:


การประกาศสภาวะฉุกเฉินระดับนานาชาติของ WHO นอกจากจะเป็นการกระตุ้นความร่วมมือระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นเป็นการให้อำนาจ WHO ในการพิจารณาเสนอแนะแนวทาง หรือ ออกคำเตือนเกี่ยวกับการรับมือการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 ในประเทศต่างๆ
โดยหลังการประกาศสภาวะฉุกเฉินระดับนานาชาติ  องค์การอนามัยโลก หรือ WHO สามารถออกคำเตือนสำหรับการเดินทางไปยังเมือง ภูมิภาค หรือ ประเทศ ซึ่งมาตรการออกคำเตือนด้านการเดินทางเช่นนี้มักถูกใช้เพื่อควบคุมโรคที่มีความร้ายแรง แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว และเกิดขึ้นเป็นวงกว้างเช่นโรคซาร์ส ที่เกิดขึ้นใน 29 ประเทศ ระหว่างปี 20002 ถึงปี 2003 

ขณะเดียวกัน WHO ยังสามารถตรวจสอบและให้คำแนะนำเกี่ยวกับมาตรการสาธารณสุขที่ประเทศต่างๆนำมาใช้ เพื่อพิจารณาว่ามีเหตุผลและถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์หรือไม่ 
นอกจากนี้ หากมีประเทศใดที่ประกาศใช้มาตรการจำกัดการเดินทาง การค้า หรือ ปฏิเสธการเข้าประเทศของผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ WHO สามารถเรียกร้องให้ประเทศเหล่านั้นชี้แจงเหตุผลได้
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศแสดงความเห็นว่า แม้คำเตือน หรือ คำแนะนำจาก WHO หลังการประกาศสภาวะฉุกเฉินจะไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมายให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตาม แต่จะเป็นการโน้มน้าวให้เกิดการปฏิบัติตามสิ่งที่องค์กรดังกล่าวเรียกร้อง หรือ เสนอแนะแนวทางไป 
ขอบคุณ link ข่าว...https://www.pptvhd36.com/news/


โคราชรับบริจาค 58 ล้าน  ช่วยแล้วคนเจ็บ-เสียชีวิต 9.1 ล้านบาท พล.ร.อ.ปวิตร รุจิเทศ เป็นผู้แทนพระองค์ เป็นประธานในพิธีทำบุญงานรวมดวงใจ...